โปรแกรมทัวร์ส่วนตัว บอลข่าน (MOT005) 10 วัน 9 คืน

โปรแกรมทัวร์ส่วนตัว บอลข่าน (MOT005) 10 วัน 9 คืน


โปรแกรมทัวร์บอลข่าน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร บอสเนีย เปิดปรสบการณ์ท่องเที่ยวในดินแดนที่น่าค้นหา


คาบสมุทรบอลข่านเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ประมาณ 550,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรราว 53 ล้านคน เซอร์เบียเป็นสาธารณรัฐที่มีกรุงเบลเกรดเป็นเมืองหลวง ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรปและมีพรมแดนติดกับหลายประเทศ มอนเตเนโกรเป็นประเทศเอกราชที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวียและประกาศเอกราชในปี 2006 บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาเป็นประเทศที่มีภูเขามาก เมืองหลวงคือซาราเจโว และสะพานมอสตาร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2005


Day 1 - เบลเกรด (Belgrade)
Day 2 - สมีเดอเรโว(Smederevo) - วิมินาซิอุม (Viminacium)- โกลูบัค - เบลเกรด
Day 3 - ซาร์กาน (Sargan) - ตระเวนกราด (Drvengrad Village) - ซะลาติบอร์ (Zlatibor)
Day 4 - ซะลาติบอร์ (Zlatibor) - ยูแวค (Uvac) - อารามิเลเซวา (Serbia) - พอตกอรีตซา (Montenegro)
Day 5 - พอตกอรีตซา (Montenegro) - โรงกลั่นไวน์ 13 กรกฎาคม - ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) - บุดวา (Budva)
Day 6 - บุดวา (Budva) - กอตอร์ (Kotor) (มอนเตเนโกร) - เทรบิเนีย(Trebinje) (บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า)
Day 7 - เทรบิเนีย (Trebinje) - บลาไก (Blagai) - มอสตาร์ (Mostar)
Day 8 - มอสตาร์ (Mostar) - ซาราเจโว (Sarajevo)
Day 9 - ซาราเจโว (Sarajevo) - ทราฟนิค (Travnik) - บีฮาช (Bihac)
Day 10 - บีฮาช (Bihac) - สตรัคคิ - จาจเซ่ (Jajce) - ซาราเจโว

Day 1 - เบลเกรด (Belgrade)


รับท่านที่ท่าอากาศยานนานาติเบลเกรด นิโคลา เทสลา เมืองเบลเกรด (Belgrade) บลเกรด เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเซอร์เบีย เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อราว 5,700 - 4,800 ปีก่อนคริสตกาล มีอารยธรรมวินชา ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมแรกที่รู้จักการหลอมทองแดง เบลเกรดมีแม่น้ำซาวาและดานูบไหลผ่าน จุดบรรจบของแม่น้ำทั้งสองเป็นชัยภูมิสำคัญ ตั้งอยู่จัตุรัสใจกลางเมืองมีอนุสาวรีย์เจ้าชายมิไฮโล โอเบรโนวิชที่ 3 และพิพิธภัณฑ์แห่งชาติที่ก่อตั้งในปี ค.ศ.1844


แล้วไปเที่ยว วิหารเซนต์ ซาวา (Church of St.Save) เป็นโบสถ์เซอร์เบีย ออโธดอกซ์ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงวราซาร์ (Vracar Plateau) ในเมืองเบลเกรด เป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คริสจักรสร้างให้เป็นเกียรติกับนักบุญซาวา ผู้ก่อตั้งเซอร์เบียน ออร์โธดอกซ์ เชื่อกันว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ร่างของนักบุญซาวาถูกเผาโดยพวกออตโตมัน เพื่อทำลายความศรัทธาที่ผู้คนมีต่อนักบุญซาวา อันเป็นเคารพอย่างยิ่งของชาวเซอร์เบีย ตัวอาคารเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1935 แต่การก่อสร้างได้หยุดชะงักลง แล้วเริ่มก่อสร้างใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ.1985 จนถึงปัจจุบันภายในอาคารก็ยังก่อสร้าง ตกแต่งไม่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามคาดว่าวิหารแห่งนี้จะสร้างเสร็จในปี ค.ศ.2020 โดยจะมีลิฟท์ขนาดใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบริเวณฐานโดมของวิหารแห่งนี้ได้


จากนั้นไปชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ยูโกสลาเวีย (Museum of Yugoslav History) และหลุมฝังศพของนายพลติโต (House of flower) อดีตประธานาธิบดีของประเทศยูโกสลาเวียและผู้นำการเคลื่อนไหวของประเทศในช่วงสงครามเย็น ภายในตกแต่งด้วยเครื่องบรรณาการจากนานาประเทศ ปืนและอาวุธมากมายที่ใช้ในการทำสงครามต่างๆรวมถึงเครื่องแต่งกายของนายพลติโต ผู้นำแห่งประเทศยูโกสลาเวีย นายพลติโต้เป็นนายทหารที่ผ่านการรบในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งอย่างโชกโชน มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบชั้นเชิงชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง

เมื่อจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ติโตมองออกว่าถ้ายูโกสลาเวียตามยูโกสลาเวียอยู่จะกลายเป็นรัฐบริวารของโซเวียตต่อไป จึงมีนโยบายดึงยูโกสลาเวียออกจากกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอ และนำพาประเทศเข้าสู่ทางสายกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ยูโกสลาเวียในสมัยติโตปกครองอยู่จึงไม่มีปัญหาเรื่องความขุดแย้งชาติพนธุ์ เพราะติโตดำเนินนโยบายทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของทุกชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียมกันภายใต้ธงชาติยูโกสลาเวีย ทำให้ประชาชนจำนวนมากต่างรักและบูชานายพลติโตเหมือนรัฐบุรุษคนหนึ่ง กระทั้งนายพลติโตถึงแก่อสัญกรรมยูโกสลาเวียก็เกิดความวุ่นวายจากสงครามนองเลือดของกลุ่มชนในรัฐต่างๆที่แตกต่างในชาติพันธุ์ จนเกิดสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและต่อเนื่องตลอดศตวรรษ 1990 กระทั่งสหประชาชาติต้องส่งทหารเข้ามา ก่อนที่บรรดารัฐต่างๆจะแยกตัวออกไปปกครองตนเอง จนยูโกสลาเวียล่มสลายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


จากนั้นไปล่องแม่น้ำชาวาและแม่น้ำดานูบ ชื่นชมธรรมชาติสองฝั่งของแม่น้ำ โดยจะลอดผ่านสะพานหลายแห่ง ผ่านย่านเมืองใหม่ Belgrade Water Front ที่พึ่งถูกพัฒนาด้วยทุนมหาศาล เพื่อให้โครงการริมน้ำที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เช่น อาคาร สำนักงาน อพาร์ตเมนท์ โรงแรม ร้านอาหาร ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น และเรือจะล่องไปยังจุดบรรจบ แม่น้ำชาวาและแม่น้ำดานูบอันเป็นแม่น้ำสายหลัก ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแม่น้ำสายย่อยอื่นๆกว่า 100 สาย บริเวณนี้เเป็นจุดขอพรที่วิเศษที่เรียกว่า Happy Bouy ตามความเชื่อของชาวเบลเกรด โดยมีข้อห้ามของการขอพร 2 ข้อ คือ ห้ามขอพรมากกว่า 1 อย่างและห้ามขอพรในสิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือเป็นไปไม่ได้ จากนั้นเรือจะล่องผ่านป้อมปราการเบลเกรด จุดนี้จะถ่ายรูปป้อมปราการจากมุมผ่านแม่น้ำได้อย่างสวยงาม


ป้อมปราการโบราณเบลเกรด (Belgrade Fortress) มีชื่อเรียกกันอีกชื่อในภาษาเตอร์กิชว่า “คาเลเมกดาน” (Kalemegdan) เป็นป้อมปราการที่สำคัญของชนกลุ่มต่างๆตลอดระยะเวลากว่าสองพันปี ซึ่งได้ถูกทำลายลงแล้วสร้างขึ้นมาใหม่หลายสิบครั้ง ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้ประกอบไปด้วยป้อมปราการเก่า และมีสวนสาธารณะคาเลเมกดาน ซึ่งภายในบริเวณป้อมปราการเก่าจะมีประตูเข้าออกหลายทาง ถ้าดูจากภายนอกจะเห็นว่าป้อมปราการถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงและหนามาก ประตูแต่ละด้านทั้งหนาทั้งใหญ่ด้วย เช่น ประตูฝั่งด้านแม่น้ำซาวา (Defter ‘s Gate) ประตูคุกในช่วงศตวรรษที่ 15 (Zindan Gate) ประตูใหญ่ที่สร้างใน ค.ศ.1750 (Inner Stambol Gate) ฯลฯ และยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งจัดแสดงรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ใช้รบในสมัยสงครามโลก หอสังเกตการณ์โบราณ และอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะ หรืออีกชื่อว่า “The Victor Monument” สร้างขึ้นโดยสถาปนิก Ivan Mestrovic เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองเบลเกรด เป็นต้น


ค้างคืน ที่เมืองเบลเกรด



Day 2 - สมีเดอเรโว(Smederevo) - วิมินาซิอุม (Viminacium)- โกลูบัค - เบลเกรด


วันนี้ออกเดินทางสู่เมืองสมีเดอเรโว (Smederevo) ระยะทาง 55 กิโลเมตร (1 ขั่วโมง) สมีเดอเรโว เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศเซอร์เบีย เมืองถูกสร้างในยุคกลางและมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากสมีเดอเรโวเคยเป็นอดีตเมืองหลวงของเซอร์เบีย ในช่วงยุคกลางช่วง ค.ศ.1430-1439 เมืองจึงเต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรม ครอบคลุมเดอเรโว ซึ่งเป็นป้อมปราการยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
จากนั้นไปชมป้อมปราการสมีเดอเรโว (Smedervo Fortress) สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ราว ค.ศ.1430 โดยDespot Durad Brankovik ป้อมปราการแห่งนี้ใช้เวลาสร้างเพียง 2 ปี โดยใช้แรงงานชาวเมืองเร่งสร้าง มีเยติน่า (Yedina) ภรรยาของผู้ปกครอง Despot Durad Brankovic เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมของป้อมปราการ เป็นรูปแบบเซอร์เบียผสมไบแซนไทน์รูปทรงสามเหลี่ยม มี 25 หอคอย มีแม่น้ำเยซาวา (Jezava River) แม่น้ำสายเล็กที่ไหลขนาบด้านข้างป้อมปราการ โดยไหลมาบรรจบกับแม่น้ำดานูบที่ขนาบอยู่ด้านหน้า


ช่วงบ่าย ไปชมเมืองโบราณวิมินาซิอุม (Viminacium) เป็นเมืองโบราณคดีที่มีชื่อเสียงของประเทศเซอร์เบีย ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคอสโตแลต แหล่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่ถ่านหินละโรงงานไฟฟ้าพลังงานไอน้ำที่สำคัญของประเทศ “วิมินาซิอุม” เป็นหนึ่งในเมืองโรมันที่ใหญ่ที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 1 -5 มีการสร้างบ้านเรือนอย่างหรูหรามีถนนหนทางที่กว้างใหญ่ มีโรงอาบน้ำ โรงละครและสิ่งก่อสร้างต่างๆครบตามลักษณะของเมืองโบราณโรมันอันยิ่งใหญ่ ต่อมาเมืองได้ถูกชาวฮั่นบุกเข้าทำลายล้างและมีการบูรณะเมืองขึ้นใหม่ ก่อนจะถูกรื้อถอนทำลายอีกครั้งในศตวรรษที่ 6 ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ.1882 จนถึงปัจจุบันมีการค้นพบสิ่งประดิษฐ์โบราณนับหมื่นชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องสีทองแกะสลัก สัญลักษณ์เกี่ยวกับเวทมนตร์ของชาวโรมัน หยกประติมากรรมหินอ่อน เครื่องปั้นดินเผา ภาพเฟรสโก้ (fresco) ซึ่งเป็นภาพเขียนบนปูนฉาบฝาผนังที่ยังเปียกอยู่และหลุมศพโบราณอีก 1,400 แห่ง

จากนั้นไปป้อมปราการโกลูบัค (Golubac Fortress) เป็นหนึ่งในป้อมปราการยุคกลางที่สวยที่สุดของประเทศในกลุ่มบอลข่าน เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำดานูบ ในช่วงที่เป็นพรมแดนกั้นระหว่างปะเทศเซอร์เบียและโรมาเนีย ป้อมปราการแห่งนี้ถูกเปลี่ยนผ่านมือมาหลายยุคหลายสมัย ผ่านผู้ปกครองมาหลายเชื้อชาติ เช่น บัลแกเรีย ฮังการี ออสเตรีย และออตโตมัน ภายในมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆตั้งแต่ยุคของโรมันจนถึงยุคออตโตมัน ตัวสถาปัตยกรรมป้อมฯ มีความสวยงามมาก แบ่งโครงสร้างเป็น 3 ส่วน และมีหอคอย 9 แห่ง แบ่งเป็นชั้นๆภายในป้อมมีภาพวาดเฟรสโก้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยยุคกลาง

ค้างคืน ที่เมืองเบลเกรด


Day 3 - ซาร์กาน (Sargan) - ตระเวนกราด (Drvengrad Village) - ซะลาติบอร์ (Zlatibor)

ออกเดินทางสู่เมืองซาร์กาน (Sargan) เมืองเล็กๆในเขตตอนกลางฝั่งตะวันตกของประเทศ ระยะทางประมาณ 111 กิโลเมตร ผ่านภูเขาต่างๆที่เต็มไปด้วยสวยงามของต้นไม้และป่าไม้ ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน อากาศในบริเวณนี้จะมีกลิ่นดอกไม้ต่างๆที่บานอยู่บนภูเขา ในฤดูหนาวจะมีหิมะขาวปกคลุมอยู่ตลอด


บ่าย นำท่านขึ้นรถไฟเครื่องจักรไอน้ำ Sargan Eight Train เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟรางแคบ ที่มีรูปทรงเป็นเลข 8 เชื่อมต่อสองทางรถไฟหลักที่สร้างขึ้นโดยสองประเทศคือ เซอร์เบีย (จาก Belgrade ถึง Mokra Gora) และออสเตรีย - ฮังการี (จาก Dubrovnik ไป Visegrad ) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1925 ชมวิวทิวทัศน์ ระยะทาง 15 กิโลเมตร ผ่านอุโมงค์ 22 แห่ง สะพาน 5 แห่ง รางรถไฟนี้มีความกว้างของรางที่แคบที่สุดเพียง 760 มม.หรือ 30 นิ้วเท่านั้น ซึ่งเป็นรถไฟที่ได้มีการอนุรักษ์ และมีความสำคัญในอดีตโดยวิ่งจากเมืองซาราเจโวไปยังเมืองเบลเกรด และได้หยุดทำการในปี ค.ศ.1974 และต่อมาในปี ค.ศ.1999 - 2003 ช่วงหนึ่งของเส้นทางส่วนที่เป็นเลข 8 ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เพื่อการท่องเที่ยว โดยการรถไฟของยูโกสลาเวียและกระทรวงการท่องเที่ยวในเวลานั้น


เดินทางไปเที่ยวเมืองตระเวนกราด (Drvengrad Village) เป็นหมู่บ้านที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้จัดแสดงด้านวัฒนธรรม สร้างโดยผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวเซอร์เบีย ชื่อ Emir Kusturica ได้รับรางวัล Palm d’Or ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ได้สร้างภาพยนตร์ชื่อ “Life is a Miracle”


แล้วเดินทางไปเมืองซะลาปิตอร์ (Zlatibor) เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของเซอร์เบีย ตั้งอยู่บนเทือกเขาไดนาริค ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศเทือกเขานี้ มีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางกิโลเมตร อันเต็มไปด้วยโรงแรมรีสอร์ท ที่พักตากอากาศ ซึ่งตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร ทำให้เป็นเมืองที่มีอากาศเย็นสบายในหน้าร้อน และมีหิมะปกคลุมตามยอดเขาในฤดูหนาว


ค้างคืน ที่เมืองซะลาติบอร์ (Zlatibor)


Day 4 - ซะลาติบอร์ (Zlatibor) - ยูแวค (Uvac) - อารามิเลเซวา (Serbia) - พอตกอรีตซา (Montenegro)


วันนี้ออกเดินทางสู่เขตธรรมชาติยูแวค (Nature Reserve Uvac) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเซอร์เบียในบริเวณเขตภูเขาสตาริ วลา-รัสกา และรายล้อมไปด้วยภูเขาลูกอื่นๆซึ่งมีอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่กว่า 7,543 เฮคเตอร์ และมีแม่น้ำยูแวคไหลลัดเลาะคดเคี้ยวไปมามีความยาวกว่า 120 กิโลเมตร


จากนั้นไปจุดชมวิว ยูแวค แคนยอน (Uvac Canyon) จุดที่พลาดไม่ได้คือแม่น้ำยูแวคที่คดเคี้ยว เป็นภาพวิวแม่น้ำที่มีความสวยงามแปลกตาอีกแห่งหนึ่งบนเส้นทางบนเทือกเขาบอลข่าน และล่องแม่น้ำยูแวคที่สวยงาม และอาจจะเห็นอีแล้งสีน้ำตาลด้วย (Griffon Vullture) ซึ่งเป็นสัตว์สงวนใกล้สูญพันธ์หายาก เนื่องจากเขตอนุรักษ์ธรรมชาติยูแวคมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติสูง เสมือนว่าอาณาจักรนี้เป็นของอีแร้งสีน้ำตาลที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก


บ่าย เดินทางประมาณ 45 กิโลเมตร (ประมาณ 1 ชั่วโมง) เพื่อไปชม อารามมิเลเซวา (Mileseva Monastery) มีความเก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 ภายในมีภาพวาดปูนเปียกที่มีชื่อเสียงโด่งดัง “White Angel”ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานศิลปะยุโรปที่สวยงามที่สุดในยุคกลางที่เหลืออยู่อย่างสมบูรณ์


จากนั้นเดินทางไปยังด่านพรมแดนระหว่างประเทศ เพื่อข้ามไปยังประเทศมอนเตรเนโก (Montenegro) หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าออกเมืองของทั้งสองประเทศ


เดินทางสู่ พอตกอรีตซา (Podgorica) เมืองหลวงของประเทศมอนเตเนโกร ชื่อ “พอตกอรีตซา” ในภาษาเซอร์เบีย เมื่อแปลตามตัวอักษรจะมีความหมายว่า “ใต้กอรีตซา” กอรีตซาเป็นชื่อภูเขาลูกเล็กๆๆลูกหนึ่ง พอตกอรีตซานี้ ตั้งอยู่บนที่ราบระหว่างเทือกเขาไดนาริกแอลป์ (Dinaric Alps) และทะเลสาบสกูดารี่ (Lake Scutari)


ชมอนุสาวรีย์กษัตริย์นิโคลา (Monument of King Nikola) ซึ่งตั้งอยู่ข้ามกับรัฐสภามอนเตเนโกร (Montenegro’s parliament) และชมจัตุรัสรีพับริค (Republic Square) จัตุรัสใจกลางเมือง เป็นศูนย์รวมร้านค้าต่างๆของเมืองหลวงขนาดเล็กแห่งนี้


ค้างคืน ที่เมืองพอตกอรีตซา (Montenegro)

Day 5 - พอตกอรีตซา (Montenegro) - โรงกลั่นไวน์ 13 กรกฎาคม - ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) - บุดวา (Budva)


วันนี้ออกเดินทางไปชมโรงกลั่นไวน์ ในถ้ำขนาดใหญ่บริเวณเนินเขา Chechanic ที่ใช้เก็บไวน์ชั้นดีที่มีชื่อเสียงของประเทศมอนเตรเนโกร ในอดีตยูโกสลาเวียที่นี่ใช้ถ้ำแห่งนี้เก็บเครื่องบินรบมากกว่า 27 ลำ ปัจจุบันบริษัท Plantae ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลมอนเตเนโกรและเอกชนได้ใช้เป็นคลังเก็บไวน์ขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์ “VRANAC” ใช้องุ่นพันธุ์ท้องถิ่นที่ดีในการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์ไวน์ของที่นี่ทั้งไวน์ขาว ไวน์แดงมีชื่อเสียงอย่างมาก บริเวณโดยรอบโรงงานเป็นไร่องุ่นที่มีขนาดใหญ่และสวยที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรบอลข่านของยุโรป ท่านสามารถทดลองชิมไวน์ (Wine Tasting) และเลือกซื้อไวน์ต่างๆได้


ออกเดินทางสู่ทะเลสาบสกาดาร์ (Lake Skadar) เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรบอลข่าน ตั้งอยู่ในหุบเขาซีดา สกาดาร์ สองในสามของทะเลสาบอยู่ในประเทศมอนเตเนโกร ครอบคลุมพื้นที่ 370 ตารางกิโลเมตร ชายฝั่งทางเหนือและตะวันตกมีความงดงาม และเป็นเขตอนุรักษ์นกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เป็นแหล่งเพาะพันธุ์กระทุงดัลเมเชียที่ใกล้สูญพันธุ์ และที่พักของนกอพยพกว่า 280 สายพันธุ์ การดูนกเป็นกิจกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว


บ่ายเดินทางสู่เมืองบุดวา (Budva) ระยะทาง 65 กิโลเมตร (ประมาณ 1.20 ชั่วโมง) เมืองนี่เป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนชายฝั่งริมทะเลอาเดเรียติค มีประวัติศาสตร์ยาวนนถึง 2,500 ปี ปัจจุบันได้รับฉายาว่า “ริเวียร่าแห่งมอนเตเนโกร” และแวะถ่ายรูปจุดชมวิวเกาะสเวตติ สเตฟาน (Sveti Stefan Island) เกาะเล็กๆที่มีชื่อเสียงของมอนเตเนโกรโดยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ครั้งหนึ่งในอดีตสมัยศตวรรษที่ 15 เคยถูกใช้เป็นป้อมปราการโจรสลัด แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรมสวยหรู อันมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์คงไว้อยู่ และถือเป็นเกาะส่วนบุคคลที่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าชม จุดชมวิวแห่งนี้นอกจรกจะเห็นเกาะสเวตติ สเตฟานแล้ว ยังเห็นวิวทิวทัสน์อันสวยงามของทะเลอาเดรียติคและตัวเมืองบุดวาในมุมกว้างได้อีกด้วย


แล้วออกไปชม เมืองเก่าบุดวา (Budva Old town) ที่ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคกลางเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ภายในเขตเมืองเก่าจะมีจัตุรัสเล็กใหญ่หลายแห่ง เชื่อมด้วยถนนภายที่มีขนาดเล็กๆแคบๆ ปัจจุบันเป็นถนนสำหรับคนเดิน บ้านเรือนในเขตเมืองเก่าถูกเปลี่ยนเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านกาแฟเป็นต้น เดินชมจตุรัสต่างๆ เช่น จัตุรัสโบสถ์ (Church Square) เดิมเป็นจัตุรัสขายเกลือ (Salt Square) ที่นี่เป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าแก่หลายแห่ง เช่น โบสถ์เซ็นต์อิวาน (Church of St.Ivan) โบสถ์ซานต้า มาเรีย (Santa Maria in Punta Church) โบสถ์เซ็นต์จอห์น (Church of St.John) จากคำบอกเล่ากันว่าโบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อช่วงศตวรรษที่ 7 ถือว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคชายฝั่งทะเลอาเดรียติค และที่สำคัญ คือเป็นที่ประดิษฐานของภาพไอคอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารีอาที่มีชื่อเรียกว่า Madonna in Punta หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Madonna of Budva


ค้างคืน ที่เมืองบุดวา (Budva)

Day 6 - บุดวา (Budva) - กอตอร์ (Kotor) (มอนเตเนโกร) - เทรบิเนีย(Trebinje) (บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า)


วันนี้ออกเดินทางเมืองกอตอร์ (Kotor) ระยะทาง 25 กิโลเมตร (ประมาณ 45 นาที) ทำเลที่ตั้งของเมืองตั้งอยู่ริมอ่าวกอตอร์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมืองนี้เป็นชายฝั่งทะเลที่สำคัญในอดีต เป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลในแถบนี้ จนปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นจุดจอดแวะพักของเรือสำราญขนาดใหญ่ในแถบทะเลอาเตรียติค ชมความสวยงามของเมืองกอตอร์ เป็นเมืองที่สร้างภายในกำแพงสูง (City Wall) ซึ่งแบ่งตัวเมืองเป็นสองส่วนคือ เมืองเก่าและเมืองใหม่ แล้วเดินชมเมืองกอตอร์เก่า (Kotor Old Town) เป็นเมืองที่ได้รับการอนุรักษ์ตามแบบฉบับของเมืองในยุคกลางและมรดกทางวัฒนธรรมมากมาย เขตเมือเก่าของกอดอร์แห่งนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ โดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO) กำแพงเมืองเก่าแห่งนี้สร้างโดยชาวเวนิสและสถาปัตยกรรมในเมืองส่วนใหญ่ยังได้รับจากชาวเวนิส เมืองแห่งนี้เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐเวเนเซียเกือบ 400 ปี ภายในเมองมีจัตุรัสน้อยใหญ่หลายแห่ง มีพระราชวังเก่า หอนาฬิกา คฤหาส์ขุนนาง ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรมบูติค ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและอื่นๆอีกมากมาย


เที่ยวชมโบสถ์เซ็นต์ไทรฟอน (Cathedal of St. Tryphon) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายคาทอลิกเพียงแห่งเดียวในเมืองกอตอร์ สร้างปี ค.ศ.1166 โดยชื่อโบสถ์ตั้งตามชื่อของนักบุญไทรฟอน ซึ่งเป็นนักบุญผู้ปกครองเมืองนี้


จากนั้นล่องเรือในอ่าวกอตอร์ (Kotor Bay) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดเป็นเขตของมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ (UNESCO) เช่นกันกับในเขตเมืองเก่ากอดอร์ เรือจะล่องไปชมบริเวณโดยรอบของอ่าว ชมได้ทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่ แวะขึ้นเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่มีตำนานว่าสร้างโดยฝีมือมนุษย์ สร้างจากความศรัทธาที่มีต่อพระแม่มารี ซึ่งบนเกาะเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Lady of The Rock Church มีหินศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเคารพและศรัทธาตั้งอยู่ด้านหลังแท่นบูชาหลักภายในมีสิ่งที่น่าสนใจ คือผนังของตัวโบสถ์จะมีแผ่นเงินแกะสลัก ในรูปต่างๆ เช่นอวัยวะของร่างกาย เช่น แขน ขา ตา ที่ชาวบ้านนำมาถวาย เพื่อขอพรให้อาการเจ็บป่วยของตนในส่วนต่างๆของร่างกายให้หายดี


บ่ายเดินทางไปยังพรมแดนระหว่างประเทศ เพื่อเดินทางออกจากประเทศมอนเตเนโกร (Montenegro) ข้ามไปยังประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า (Bosnia and Hezegovina) หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองทั้งสองประเทศ
เดินทางมุ่งสู่ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเฮอร์เซโกวิน่า ประเทศบอสเนีย ห่างจากจุดหลัก 85 กิโลเมตร เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาลุ่มแม่น้ำเทรบิเนียซ่า ซึ่งมีบ้านเรือนปลูกสร้างตามริมฝั่งแม่น้ำ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมหินและสะพานหินในยุคออตโตมัน ย่านเมืองเก่า (Trebinje Old Town) ยังคงมีอาคารดั้งเดิมที่สวยงาม เทรบิเนียถือเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของประเทศและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเฮอร์เซโกวิน่าตะวันออก


ค้างคืน ที่เมืองเทรบิเนีย (Trebinje)

Day 7 - เทรบิเนีย (Trebinje) - บลาไก (Blagai) - มอสตาร์ (Mostar)
วันนี้ออกเดินทางเมืองมอสตาร์ หมู่บ้านบลาไก (Blagai) ตั้งอยู่ใกล้เมืองมอสตาร์ มีแม่น้ำบูน่า(Buna River) ไหลผ่านด้วยน้ำสีเขียวมรกตใสสะท้อนภาพชัดเจน ต้นน้ำมาจากถ้ำในภูเขา ใกล้ปากถ้ำมีบ้านเก่าแก่ที่สร้างในยุคอาณาจักรออตโตมันราวปี ค.ศ.1520 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ "บลาไก เดคเก้" (Blagaj Tekke) ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับมังกรและหญิงสาวที่ถูกส่งสังเวยจนมีผู้กล้าฆ่ามังกรได้ ภายในพิพิธภัณฑ์มีดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สังหารมังกรจัดแสดง


บ่ายเดินทางสู่เมืองมอสตาร์ (Mostar) เป็นเมืองที่มีความงดงามทั้งธรรมชาติและสถาปัตยกรรม เคยได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างเซิร์บกับโครแอต เมืองตั้งอยู่บนแม่น้ำเนเรทวา (Neretva) แบ่งวัฒนธรรมออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นศาสนาอิสลาม ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นศาสนาคริสต์คาทอลิก มอสตาร์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในบอสเนีย สะพานหินโบราณ (Stari Most) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมสองฝั่งของเมือง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ.2005


ค้างคืน ที่เมืองมอสตาร์ (Mostar)

Day 8 - มอสตาร์ (Mostar) - ซาราเจโว (Sarajevo)


วันนี้ออกเดินทางเมืองคอนจิก (Konjic) เมืองคอนจิกตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเฮอร์เซโกวีน่า ประเทศบอสเนีย มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ ทะเลสาบ และแม่น้ำเนเรทวา (Neretva) ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและผจญภัยที่นิยม เช่น เดินป่าและล่องแก่ง นอกจากนี้คอนจิกยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เคยผลิตอาวุธในยุคสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย


จากนั้นไปชมบังเกอร์ขนาดใหญ่ "Tito’s Bunker" ในเมืองคอนจิก สร้างขึ้นใต้ดินและถูกเก็บเป็นความลับกว่า 50 ปี เป็นศูนย์บัญชาการสงครามปรมาณูที่สามารถรองรับผู้นำและครอบครัว รวมถึงบุคลากรสำคัญของยูโกสลาเวียได้ถึง 350 คน พร้อมเสบียงเพียงพอสำหรับ 6 เดือน ใช้เวลาสร้างนานถึง 26 ปี (1953-1979)

บ่ายเดินทางสู่เมืองซาราเจโว เมืองหลวงของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มีประวัติยาวนานตั้งแต่ยุคจักรวรรดิออตโตมัน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ เฟอร์ดินานด์ในปี 1914 ซึ่งเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1 เมืองยังเป็นที่จดจำจากการถูกปิดล้อมในช่วงสงครามบอสเนีย ปัจจุบันซาราเจโวเป็นเมืองที่ปลอดภัยและได้รับการขนานนามว่า "เยรูซาเลมแห่งคาบสมุทรบอลข่าน"


จากนั้น ไปเที่ยวย่านเมืองเก่าซาราเจโก แบบ Walking Tour เดินชมสถานที่ต่างๆโดยส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงจักรวรรดิ์ออตโตมันราวคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ดังนี้
- ศาลาว่าการเมืองและอาคารเก่าทีมีชื่อเรียกว่า Split House
- โบสถ์ยิวเก่า (Old Synagogue)
- น้ำพุล้อมไม้ฉลุใจกลางจัตุรัสบัสกาซิจา (Bascarsila Square or Pigeon Square)
- ที่พักนักเดินทางในสมัยโบราณที่เรียกว่า Han
- มัสยิดแห่งกษัตริย์ (The Emperors Mosque) เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1457
- สะพานลาดิน (The Latin Bridge) จุดเกิดเหตุของการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก ฟรันซ์ เฟอร์ดีนันด์
- ย่านตลาดการค้าโบราณที่มีชื่อว่า Ghazi Husrev Bey’s Bazaar or Old Bezistan และในบริเวณใกล้กันมีมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศบอสเนียและเป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์ตัวแทนสำคัญของจักรพรรดิ์ออตโตมันในแถบคาบสมุทรบอลข่านที่มีชื่อว่า Ghazi Husrev Bey’s Mosque
- ถนนการค้าโบราณ จำหน่ายขายสินค้าจำพวกเครื่องทองแดงที่มีชื่อว่า Kazandziluk street และถนนการค้าที่เป็นแหล่งของช่างทำกุญแจที่มีชื่อว่า Bravadziluk street เมื่อท่านเดินเข้าไปตามถนนดังกล่าวแล้วจะรู้สึกว่าได้เดินเท้าอยู่ในเส้นทางเก่าย้อนยุคกลับไปในอดีตราวคริสต์วรรษที่ 16 เลยทีเดียว
- อุโมงค์หลบภัยซาราเจโว (Sarajevo Tunnel)


ค้างคืน ที่เมืองซาราเจโว (Sarajevo)


Day 9 - ซาราเจโว (Sarajevo) - ทราฟนิค (Travnik) - บีฮาช (Bihac)

วันนี้ออกเดินทางเมืองทราฟนิค ระยะทาง 90 กิโลเมตร (ประมาณ 1.40 ชั่วโมง) เมืองทราฟนิค (Travnik) อดีตเมืองหลวงของออตโตมันแห่งบอสเนียตอนกลาง (Centarl Bosnia Canton) ตั้งในเขตหุบเขาลาสว่า โดยมีแม่น้ำลาสว่า (Lasva River) ไหลผ่านเมืองมีภูเขาล้อมรอบ แล้วไปชมป้อมปราการทราฟนิค (Travnik Fortress) เพื่อชมวิวเมืองกว้างในจุดที่สูงแบบรอบตัว 360 องศา จากนั้นเดินชมเมืองเก่าทราฟนิค ที่มีอาคารเก่าแก่สมัยออตโตมันที่ยังคงสภาพสวยงามมากมาย เนื่องจากเมืองนี้ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงช้าเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆของบอสเนีย เมืองนี้จึงถูกเรียกว่า “อิสตันบูลแห่งยุโรป” และยังเป็นบ้านเกิดของนักเขียนรางวัลโนเบล Ivo Andric ผู้ประพันธ์นวนิยายคลาสสิคของบอสเนีย ปัจจุบันเมืองยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับ “ชีสแกะ” ที่มีรสชาติดีที่สุดของประเทศ


บ่ายเดินทางสู่เมืองบีฮาช ระยะทาง 220 กิโลเมตร (ประมาณ 3.30 ชั่วโมง) เมืองบีฮาช (Bihac) เป็นเมืองในจังหวัดอูนา-ซานา (Una-Sana Canton) ประเทศบอสเนียและเฮอร์ดซโกวีนา ตั้งอยู่บนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ บนฝั่งแม่น้ำอูนา ใกล้ชายแดนประเทศโครเอเชีย ซึ่งเคยอย่ใต้การปกครองของประทศตุรกีจนถึง ค.ศ.1878


ค้างคืน ที่เมืองบีฮาช (Bihac)


Day 10 - บีฮาช (Bihac) - สตรัคคิ - จาจเซ่ (Jajce) - ซาราเจโว

วันนี้ออกเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติอูนา (Una National Park) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองประมาณ 35 กิโลเมตร ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 มีน้ำตกที่สวยงามและเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เดินป่า ล่องแก่ง และแค้มป์ปิ้ง ก่อนถึงอุทยาน จะพบหมู่บ้านโอวาแชค (Orasac Village) ที่มีซากปรักหักพังจากคริสต์ศตวรรษที่ 13-15 และเมื่อเข้าสู่อุทยานจะมีน้ำตกสตรัคคิ บุค (Strbacki Buk) สูง 25 เมตร พร้อมทางเดินไม้ชมวิวใกล้ชิด
จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองจาจเซ่ (Jajce) ซึ่งเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรบอสเนีย แวะชมน้ำตกพลิวา ขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 22 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำพลิวาและแม่น้ำวรีบาส


เดินทางสู่เมืองซาราเจโว (Jajce) ระยะทาง 160 กิโลเมตร (ประมาณ 2.45 ชั่วโมง) เพื่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติซาราเจโว กลับสู่ประเทศไทย

 

ราคา

ค่ารถตู้พร้อมคนขับ ราคาเริ่มต้นวันละ 35,000 บาท 

ราคารวม

1. ค่ารถตู้พร้อมคนขับ (ราคารวมค่าน้ำมัน ทางด่วน โรงแรมและอาหารของคนขับแล้ว)

2. ค่าประกันการเดินทางแบบกลุ่ม ตามกฏหมายกำหนด คุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ 

ราคาไม่รวม

  1. โรงแรมของท่าน
  2. ที่จอดรถ จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเลือกเที่ยวจริง
  3. กรณีรถโค้ช ราคาไม่รวม City permit จ่ายเป็นรายครั้งไป ตามโปรแกรมท่านเที่ยวจริง, หากมีเอารถลงเรือ Ferry จ่ายเองหน้างานตามจริง
  4. ทิปคนขับ ตามพอใจ แนะนำ วันละ 40 ยูโร/คณะ
  5. อื่น ๆ ที่ไม่เขียนว่ารวม เช่น อาหารเที่ยงและเย็น ค่ายกกระเป๋า ณ โรงแรมที่พัก ค่าวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินระหว่างประเทศ ตั๋วท่องเที่ยว จ่ายหน้างานเองตามจริง ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และหัก ณ ที่จ่าย 3%
  6. หากต้องการหัวหน้าทัวร์ จ่ายเพิ่มวันละ 16,500 บาท ราคารวมโรงแรมและอาหารหัวหน้าทัวร์แล้ว 

การจ่ายเงิน

  • งวด 1 มัดจำ คณะละ 5,350 บาท สามารถจองผ่านบัตรเครดิต ผ่านหน้าระบบเวบไซต์ได้เลย จากนั้นเราจะออกใบจองทัวร์คอนเฟิร์มให้ท่าน (หากทริปไม่คอนเฟิร์ม จะคืนเงินให้ 100% ภายใน 7 วัน)
  • งวดที่ 2 ท่านละ 5,000 บาท ภายใน 7 วัน หลังจากได้รับการคอนเฟิร์มแล้ว (ยกเลิกทริปไม่คืน)
  • งาดที่ 3 ท่านละ 25,000 หลังจากวีซ่าผ่านแล้ว หรือ/และก่อนเดินทาง ไม่น้อยกว่า 30 วัน (ยกเลิกทริปไม่คืน)
  • งวดที่ 4 ท่านละ ที่เหลือ วันที่ 2 ของทริป หลังจากเราไปรับท่านแล้ว (ยกเลิกทริปไม่คืน)