Top 15 สถานที่น่าเที่ยวใน Iceland


1. เรคยาวิก (Reykjavik)
เรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือมากที่สุด และเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยความสวยงามทางธรรมชาติ อีกทั้งอาคารบ้านเรือนที่สวยงาม และสถาปัตยกรรมี่ทรงคุณค่าไปด้วยประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนธรรมชาติ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่เกี่ยวกับ “ดินแดนน้ำแข็ง” เล็กๆ แห่งนี้ไว้ได้อย่างน่าสนใจ จึงถือว่า เมืองเรคยาวิกเป็นอีกเมืองหนึ่งที่สวยงามและมีสเน่ห์ในตัวเองมากๆเป็นอันดับต้นๆในแถบสแกนดิเนเวีย

2. คีร์กจูเฟล (Kirkjufell)
คีร์กจูเฟล (Kirkjufell) หรือ “ภูเขาโบสถ์” เป็นภูเขาที่คล้ายกับโบสถ์ หรืออีกช่อก็คือ “หมวกของแม่มด” ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปมากที่สุดในไอซ์แลนด์ ซึ่งตัวภูเขาจะมีลักษณะเป็นชั้นๆ และมีสีสันแตกต่างกันไป และผู้คนเชื่อกันว่าฟอสซิลชั้นล่างสุดเกิดตั้งแต่ยุคน้ำแข็งนับล้านปี ส่วนชั้นบนนั้นเป็นหินลาวาที่เกิดในช่วงที่ยุคน้ำแข็งเริ่มอุ่นขึ้น

คีร์กจูเฟล เป็นสถานที่ที่สามารถมาเที่ยวชมกันได้ตลอดทั้งปี ในทุกฤดุกาล แม้แต่ในฤดูหนาว เพราะภูเขา“หมวกแม่มด” นั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งนักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะนิยมมาที่นี่เพื่อถ่ายภาพสวยๆ ของน้ำตกที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหมวกแม่มด และไม่เพียงแค่ภูเขาหมวกแม่มดเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ภูเขาหมวกแม่มดยังเป็นสถานที่ที่เป็นที่นิยมในหมูนักปีนเขาด้วยเช่นกัน เพราะยอดเขาของภูเขาแม่มดนั้นมีทิวทัศนที่สวยงามอย่างมากนั้นเอง

3. น้ำตกฮรวนฟอสซาร์ (Hraunfossar)
น้ำตกฮรวนฟอสซาร์ (Hraunfossar) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกลาวา น้ำตกแห่งนี้จะมีลักษณะเด่นคือ น้ำตกนี้จะประกอบไปด้วยสายน้ำเล็กๆหลายๆสาย ซึ่งเกิดจากแหล่งน้ำผิวดิน รวมกับน้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็ง ไม่ได้เป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาตรงๆ เหมือนน้ำตกแห่งอื่นนั่นเอง

4. น้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss)
น้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss) หรือน้ำตกของพระเจ้า ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยงามที่สุดของประเทศไอซ์แลนด์ อีกทั้งยังเป็นน้ำตกที่มีความงดงามและใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศไอซ์แลนด์ ซึ่งน้ำตกของโกดาฟอสส์มีลักษณะโค้งเป็นครึ่งวงกลม และไหลตกลงมายังแอ่งตรงกลาง


5. เทือกเขาเนามาฟียาทล์ (Namafjall)
เทือกเขาเนามาฟียาทล์ (Namafjall) หรือที่เรียกว่า นามาสการ์ด (Narmaskard) เป็นเทือกเขาสีส้ม เหลือง เต็มไปด้วยบ่อโคลนเดือดซึ่งมีกำมะถันอยู่มากและมีไอน้ำร้อนจัดอยู่ด้านล่าง เมื่อไอน้ำนั้นเคลื่อนที่จะทำให้โคลนที่อยู่ด้านบนพุ่งกระจายขึ้นมาคล้ายการระเบิดย่อยๆ บริเวณภูเขาไฟ สิ่งที่น่าทึ่งคือนามาสการ์ดเป็นบริเวณที่ไม่มีต้นไม้หรือดอกไม้ขึ้นอยู่เลย เนื่องจากบ่อโคลนกำมะถันนี้ปล่อยควันออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้พื้นดินเสื่อมสภาพและมีความเป็นกรด จึงไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกและพชพรรณไม่สามรถเจริญเติบโตได้นั่นเอง

6. เมืองฮอฟน์ (Hofn)
เมืองฮอฟน์ (Hofn) เป็นเมองท่องเที่ยวเมืองเล็กๆของไอซ์แลนด์ ที่มีชื่อเสียงทางด้านทัศนียภาพที่สวยงามและมีชื่อเสียงในเรื่องการประมงกุ้งลอบสเตอร์ (Lobster)อีกด้วย จนได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งล็อบสเตอร์ของยุโรปเหนือ (The Lobster Capital of Northern Europe) เลยทีเดียว


7. โจกุลซาร์ลอน (Jokulsarlon)
Jokulsarlon & Diamond beach เที่ยว Jokulsarlon คือบึงน้ำซึ่งน้ำไหลลงมาจากธารน้ำแข็ง Vatnaj?kull เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์และยุโรป จึงมีผู้ให้ฉายา ไอซ์แลนด์เป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งกับไฟ เพราะมีธารน้ำแข็งที่ปกคลุมทับภูเขาไฟขนาดใหญ่อยู่หลายลูก นอกจากจะได้ชมบรรยากาศน่าตื่นตาตื่นใจของธารน้ำแข็งแล้ว เรายังสามารถนั่งล่องเรือชมภูเขาน้ำแข็งที่โจกุลซาร์ลอนได้อีกด้วย

8. น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss)
น้ำตกสวาร์ติฟอสส์ (Svartifoss) หรือ น้ำตกสีดำ (Black Waterfall) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของ Skaftafell National Park อุทยานแห่งชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไอซ์แลนด์ แม้สวาร์ติฟอสส์จะไม่ใช่น้ำตกที่สูงมากนัก แต่จุดเด่นนั้นอยู่ที่แท่นหินลาวาสีดำลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ความแปลกตาทางธรณีวิทยา สร้างความงดงาม และอลังการให้กับน้ำตกแห่งนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์


9. เรย์นิสฟายาร่า (Reynisfjara)
เรย์นิสฟายาร่า (Reynisfjara) เป็นหาดทรายสีดำที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอซ์แลนด์ และเป็นหนึ่งในหาดทรายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอีกด้วย ทรายสีดำที่ชายหาดแห่งนี้เป็นตะกอนเม็ดทรายสีดำที่เกิดจากการกร่อนของหินลาวา และแนวหินบะซอลต์ที่ถูกพัดพาไปสะสมตัวบริเวณชายหาด โดยเม็ดทรายนี้มีความหนาแน่นและทนทานต่อการแตกสลายผุพัง บริเวณนี้เป็นบริเวณที่คลื่นพัดแรง จะพัดเอาวัตถุที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าออกไป วัตถุที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะถูกพัดพาออกไปได้ช้าหรือยังคงสะสมรวมตัวกันอยู่ จนกลายเป็นชายหาดที่มีทรายสีดำนั่นเองค่ะ


10. น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skogafoss)
น้ำตกสโกกาฟอสส์ (Skogafoss) คือแลนด์มาร์กที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของประเทศไอซ์แลนด์ นอกจากสโกกาฟอสส์จะเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์แล้ว ก็ยังเป็นน้ำตกที่สูงที่สุด โดยมีความสูงราว 62 เมตร และยังเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไอซ์แลนด์อีกด้วย
สโกกาฟอสส์เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำแรงและไอน้ำฟุ้งกระจายตลอดเวลา หากมาเที่ยวทีนี่ในช่วงเวลาที่มีแดดส่องมาทางน้ำตกจะสามารถเห็นรุ้งกินน้ำอยู่ด้านหน้าน้ำตกได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ซึ่งบางครั้งหากโชคดีอาจได้เห็นรุ้งกินน้ำสองชั้น (Double Rainbow) ซึ่งสวยงามและน่าประทับใจมากๆค่ะ

11. น้ำตกเซลจาลันด์ฟอสส์ (Seljalandfoss)
น้ำตกเซลจาลันด์ฟอสส์ (Seljalandfoss) น้ำตกที่มีชื่อเสียงและถูกขนานนามว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ แถมมีความสูงถึง 60 เมตร และสามารถเดินลอดไปหลังม่านน้ำตกได้ นับว่าเป็นการเที่ยวชมน้ำตกที่น่าต่นเต้นและแปลกใหม่มากๆ
แต่ถ้าหากได้แวะมาเยือนเซลจาลันด์ฟอสส์ในช่วงหน้าร้อน เราก็จะได้เห็นภาพบรรยากาศธรรมชาติที่แต่งต่างออกไป ก็คือ จะเห็นต้นหญ้าและมอสสีเขียวขจีที่ขึ้นล้อมรอบน้ำตก และมีดอกไม้หลากสีสันสวยงามบานให้เห็นกันทั่วบริเวณเลยทีเดียว ซึ่งสวยงามมากๆค่ะ

12. ไกเซอร์ (Geysir)
Geysir /Geyser น้ำพุร้อน Geyser ประทุขึ้นครั้งแรกประมาณหมื่นกว่าปีมาแล้วหลังมีแผ่นดินไหวรุนแรง แผ่นหินถูกเปิดออก เกิดเป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติ มีน้อยแห่งในโลก และเป็นน้ำพุร้อนที่ที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์อีกด้วย ทั่วบริเวณน้ำพุร้อนจะเต็มไปด้วยไอน้ำซึ่งดูแปลกตาแปลกใหม่สำหรับหลายคนๆที่เพิ่งเคยมาเยือนครั้งแรก และอีกทั้งยังเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาชมได้ยาก น้ำตกไกเซอร์จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ของไอซ์แลนด์ที่ไม่ควรพลาด


13. น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss)
น้ำตกกุลล์ฟอสส์ (Gullfoss) หรือ “ไนแองการ่าแห่งไอซ์แลนด์” เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอซแลนด์ จุดเด่นของกุลล์ฟอสส์คือการไหลของน้ำตกเป็นรูปทรงกรวยสามเหลี่ยมแปลกตา และเป็นการไหลลงเป็นสองช่วง ก่อนจะตกลงสู่หุบเขาธารน้ำแข็งลึกด้านล่าง จนเกิดเป็นกลุ่มละอองน้ำสีขาวคล้ายกลุ่มควันพุ่งขึ้นมาจากหุบเขาลึกซึ่งเกิดจาก glacial floods ครั้งรุนแรงในช่วงปลายยุคน้ำแข็งนั่นเองค่ะ

14. อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park)
อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Thingvellir National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ระหว่างรอยแยกของหุบเขากับทะเลสาบทางธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์
อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์เป็นจุดกำเนิดทางประวัติศาสตร์และทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจของโลก เนื่องจากเป็นรอยต่อระหว่างทวีปยูเรเซียและทวีปอเมริกาเหนือ และยังมีร่องแยกแผ่นดินที่เกิดจากแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1784 เป็นทางยาวหลายหมื่นกิโลเมตร ซึ่งองค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนให้อุทยานแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2004 อุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่แลนดมาร์กของไอซ์แลนด์ที่ควรมาเยี่ยชมดูสักครั้งในชีวิต


15. บลูลากูน (Blue Lagoon)
บลูลากูน (Blue Lagoon) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอซ์แลนด์ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนถึงปีละกว่า 5 แสนคน ซึ่งบลูลากูนเป็นบ่อน้ำร้อนสีฟ้าที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิดจากใต้ดิน และแร่ธาตุบางชนิดนอกจากจะมีสรรพคุณในการบำรุงผิวพรรณแล้ว ยังรักษาโรคผิวหนังบางชนิดได้ด้วย

เมื่อมาเที่ยวที่บ่อน้ำพุร้อนบลูลากูนแห่งนี้ เราสามารถที่จะลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนเพื่อความผ่อนคลายได้ ซึ่งอุณหภูมิของน้ำในบ่อเป็นอุณหภูมิที่กำลังพอเหมาะสำหรับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น และน้ำในบลูลากูนจะเปลี่ยนใหม่อัตโนมัติทุกๆ 48 ชั่วโมงค่ะ บลูลากูนจึงเป็นอีกหนึ่งของไอซ์แลนด์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การมาแช่ผ่อนคลายร่างกายเป็นอย่างมากค่ะ